ในวันนี้ทางเว็บไซต์ Football Wiki จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักหนึ่งในกองกลาง ที่คว้าแชมป์มากมากมายกับ มาริโอ เกิทเซ่ นักฟุตบอลที่ถูกจดจำทั้งในฐานะ “เด็กทองคำ” ของวงการลูกหนังเยอรมัน และฮีโร่ผู้ยิงประตูสำคัญในนัดชิงฟุตบอลโลก 2014 แต่เส้นทางของเขาไม่ได้มีเพียงช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ ยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และบททดสอบ ที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกอยากรู้ว่าเขาก้าวผ่านมาได้อย่างไร
หากคุณอยากรู้ว่าเส้นทางลูกหนังของเกิทเซ่เริ่มต้นจากตรงไหน เขาแจ้งเกิดได้อย่างไร และอะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ก็ตามไปอ่านต่อในหัวข้อถัดไปได้เลย
จุดเริ่มต้นและเส้นทางสู่วงการฟุตบอลของ มาริโอ เกิทเซ่
มาริโอ เกิทเซ่ (Mario Götze) เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1992 ที่เมืองเมมมิงเงิน ประเทศเยอรมนี เขาเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรที่เป็นจุดกำเนิดนักเตะมากพรสวรรค์หลายต่อหลายคน ด้วยฝีเท้าอันโดดเด่นทั้งด้านเทคนิค การควบคุมบอลที่เหนียวแน่น และการอ่านเกมที่เหนือวัย ทำให้เกิทเซ่ถูกจับตามองตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน

ปี 2009 เขาได้รับโอกาสขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ ดอร์ทมุน อย่างเต็มตัว และกลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่สร้างสีสันให้ บุนเดสลีกา อย่างรวดเร็ว ด้วยการเล่นที่คล่องแคล่ว ว่องไว และสามารถพลิกเกมได้จากการจ่ายบอลคมกริบ หรือการทำประตูด้วยตัวเอง ในวัยเพียง 18 ปี เกิทเซ่ก็ถูกเรียกติดทีมชาติ บอลเยอรมัน ชุดใหญ่ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่เปิดทางสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการฟุตบอลยุโรป และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง ที่เต็มไปด้วยทั้งความสำเร็จ และความท้าทายที่โลก จะได้เห็นในเวลาต่อมา
การแจ้งเกิดกับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์และการคว้าแชมป์บุนเดสลีกา
Mario Götze กลายเป็นชื่อที่แฟนบอลทั่วเยอรมนี เริ่มรู้จักอย่างแท้จริงเมื่อเขาแจ้งเกิดกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในช่วงปี 2010–2013 ด้วยสไตล์การเล่นที่ผสมผสานความรวดเร็ว ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการเลี้ยงบอลที่เฉียบคม เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “เพชรเม็ดงาม” ของวงการฟุตบอลเยอรมัน
ฤดูกาล 2010–11 เกิทเซ่มีบทบาทสำคัญช่วยให้ดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี และในฤดูกาลถัดมา (2011–12) เขาและเพื่อนร่วมทีมยังพาสโมสรสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้ง บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ-โพคาล ได้อย่างยิ่งใหญ่ ถือเป็นการยืนยันว่าเขาคือกำลังสำคัญของทีม
ไม่เพียงแค่ความสำเร็จในประเทศ เกิทเซ่ยังมีส่วนร่วมพาดอร์ทมุนด์ทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2013 ซึ่งเป็นเวทีที่ทำให้เขาก้าวสู่การเป็นนักเตะระดับทวีป และกลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่ง ที่หลายสโมสรใหญ่ ในยุโรปต้องการตัวมาก ที่สุดในเวลานั้น

ช่วงเวลาที่บาเยิร์นและความสำเร็จในยุโรปของ มาริโอ เกิทเซ่
หลังจากสร้างชื่อกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ Mario Götze ได้ย้ายไปสู่สโมสรยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีอย่าง บาเยิร์น มิวนิก ในปี 2013 ด้วยค่าตัว 37 ล้านยูโร ซึ่งทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะเยอรมัน ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในเวลานั้น
การย้ายทีมครั้งนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการย้ายจากคู่แข่งร่วมลีกโดยตรง แต่เกิทเซ่ก็พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงาน ในสนาม เขามีส่วนสำคัญช่วยให้บาเยิร์นคว้า แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกัน (2013–14, 2014–15, 2015–16) รวมถึงแชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล 2 สมัย และยังได้สัมผัสเกียรติยศในเวทียุโรปด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ
แม้ว่าเขาจะต้องเจอกับการแข่งขันที่สูงภายในทีม ที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ แต่เกิทเซ่ก็ยังสามารถสร้างช่วงเวลาน่าจดจำ ได้มากมาย โดยเฉพาะการยิงประตูสำคัญในเกมลีก และถ้วยต่าง ๆ ที่ช่วยให้บาเยิร์น ก้าวขึ้นไปเป็นทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ ทั้งในเยอรมนี และระดับทวีปยุโรปในยุคนั้น
การกลับสู่ดอร์ทมุนด์และการย้ายไป พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
หลังจากช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสำเร็จกับบาเยิร์น มิวนิก เกิทเซ่ได้ตัดสินใจกลับมาสู่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2016 การกลับมาครั้งนี้แฟนบอลเสือเหลืองต่างคาดหวังว่าเขาจะเป็นกำลังหลักในการพาทีมลุ้นความสำเร็จอีกครั้ง และเกิทเซ่ก็สามารถเพิ่มเกียรติยศให้กับสโมสรด้วยการคว้าแชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล 2016–17 และ เดเอฟแอล-ซูเปอร์คัพ
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่สองกับดอร์ทมุนด์ไม่ได้ราบรื่นนัก เนื่องจากเกิทเซ่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ และอาการบาดเจ็บ ที่รบกวนอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปสู่ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม
ในปี 2020 เกิทเซ่ตัดสินใจออกเดินทางครั้งใหม่ โดยย้ายไปเล่นให้กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ในลีกเนเธอร์แลนด์ การย้ายออกนอกบุนเดสลีกาครั้งแรก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในเส้นทางอาชีพของเขา ที่พีเอสวี เกิทเซ่กลับมาโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจ สร้างสรรค์เกมรุก และยิงประตูสำคัญหลายครั้ง พร้อมช่วยทีมประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยของเนเธอร์แลนด์
การย้ายไปพีเอสวีจึงไม่เพียงแค่เปิดประตูสู่ความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับเกิทเซ่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขา ในการพิสูจน์ตัวเอง ในเวทีต่างแดนอีกด้วย
การกลับสู่บุนเดสลีกา กับสโมสรไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2022 มาริโอ เกิทเซ่ ได้หวนคืนสู่เวทีบุนเดสลีกาอีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญา 3 ปีร่วมทัพ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต การกลับมาครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญ ในเส้นทางอาชีพ หลังจากใช้เวลา 2 ฤดูกาลในลีกเนเธอร์แลนด์ กับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน

การเข้าร่วมแฟร้งค์เฟิร์ต ทำให้เกิทเซ่ได้กลับมาท้าทายตัวเองในลีกสูงสุดของเยอรมนีอีกครั้ง พร้อมทั้งช่วยเพิ่มประสบการณ์ และคุณภาพให้กับทีม แฟร้งค์เฟิร์ตกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาทีม เพื่อต่อยอดความสำเร็จในเวทียุโรป โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์ยูโรปาลีก 2021–22 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสโมสร
เกิทเซ่ได้รับบทบาททั้งในตำแหน่งกองกลางตัวรุก และกองกลาง เชื่อมเกม เขาใช้วิสัยทัศน์ และทักษะการครองบอล เพื่อสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม ขณะเดียวกันก็ยังคงมีทีเด็ดในการจบสกอร์ด้วยตัวเอง การย้ายมาอยู่กับแฟร้งค์เฟิร์ต ไม่เพียงเป็นการกลับมาบุนเดสลีกาของเกิทเซ่ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเขาที่ต้องการพิสูจน์ว่าตัวเอง ยังสามารถสร้างอิทธิพล ในเกมระดับสูงได้เหมือนเดิม
ติดตามเรื่องราวนักเตะคนอื่น ๆ ชั้นนำได้ที่ Football Wiki
เกิทเซ่คือนักเตะที่ผ่านเส้นทางลูกหนัง ที่เต็มไปด้วยทั้งความสำเร็จ และความท้าทาย เว็บยูฟ่า ตั้งแต่การแจ้งเกิดกับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ การย้ายไป บาเยิร์น มิวนิก รวมถึงการยิงประตูชัยในฟุตบอลโลก 2014 จนถึงการกลับมาสู่บุนเดสลีกากับ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต เรื่องราวของเขาสะท้อนถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น และการไม่ยอมแพ้
หากคุณสนใจติดตามชีวประวัติ เส้นทางการค้าแข้ง และผลงานของนักเตะดังในวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก, ลาลีกา, บุนเดสลีกา หรือแม้กระทั่งนักเตะดาวรุ่งที่กำลังมาแรง อย่าลืมติดตามบทความอื่น ๆ ของเราได้ที่ ทางเข้า UFABET ที่จะพาคุณไปรู้จักนักฟุตบอลระดับโลก ในแง่มุมที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
